- หน้า 4 -
(หน้าสุดท้าย)


 

ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้แปล

            ตามปกติ คำว่า "การเมือง" นั้น มีในเกือบทุกๆสังคมนั่นแหละครับ อย่างเรื่องข้อดีข้อด้อยของการฝึกแบบ
High Intensity นั้น ก็ถูกโจมตีจากปรมาจารย์ท่านอื่นๆทางบทความของตัวเองบ้าง ลูกศิษย์ของแต่ละฝ่ายบ้าง แต่มาหนักเอาก็ตอนคุณ ไมค์  เมนเซอร์ เสียชีวิตนี่แหละครับ แกเลยไม่มีโอกาสได้เขียนบทความแก้ข้อกล่าวหาเหมือนก่อน เห็นได้ชัดว่าหนังสือเพาะกายของโจ  ไวเดอร์ ที่ตีพิมพ์ทั่วโลก เขาก็ต้องทำให้เห็นว่าเทคนิคเขาดีที่สุด และเขามีอิทธิพลในการเลือกนักเพาะกายรูปร่างสวยๆมาเข้าสังกัด เลยทำให้คนเข้าใจว่า ผู้ที่ฝึกตามสูตรของไวเดอร์แล้ว จะรูปร่างสวยเหมือนที่เห็นในนิตยสารนั่นเอง  หรือเมื่อฝ่ายตรงข้ามพลาด เช่นดอเรียน กล้ามไบเซบฉีกขาด หรือเมนเซอร์เสียชีวิต ก็เลยถูกใช้ประเด็นเหล่านี้โจมตีเต็มที่   ส่วนสูตร High Volume ของอาร์โนลด์ ไม่ค่อยถูกโจมตีเท่าไร เพราะเป็นลูกศิษย์เก่าของคุณโจ  ไวเดอร์เขา

            แต่จริงๆแล้ว เมื่อผมได้อ่านนิตยสารเพาะกายของยี่ห้ออื่นๆ ที่เขาเปิดกว้างเรื่องระบบฝึกนั้น ผมลองเอามาประมวลดูแล้ว พบว่าระบบฝึก
High Intensity น่าใช้มากครับ และไม่ได้อันตรายอย่างที่คิด เพียงแต่คุณไมค์ ไม่ได้มีโอกาสมาแก้ตัวน่ะครับ เราลองเปิดใจรับฟังผมแบบเปิดกว้างดูนะครับ

ประการที่ 1 ดอเรียนกล้ามไบเซบฉีกขาดเพราะตัวเอง ไม่ใช่ที่ระบบฝึก
 


            ข้อความนี้ถูกซ่อนไว้ในมุมเล็กๆในนิตยสาร อาจเป็นเพราะ (ค่อนข้างแน่นอน) ว่าฝ่ายตรงข้ามต้องการให้คิดว่ากล้ามไบเซบของดอเรียน ฉีกขาดเพราะระบบ High Intensity แต่จริงๆแล้ว ข้อความมันเขียนไว้ว่า "เมื่อผมบริหารด้วยท่า Yates Row (ตามภาพข้างบน) ไปได้ไม่กี่ครั้ง ก็เริ่มรู้สึกปวดที่ต้นแขนด้านซ้าย จึงรีบไปหาหมอ และในที่สุดก็พบว่ากล้ามไบเซบข้างซ้าย ไล่ลงไปถึงแขนท่อนปลายฉีกขาด" ประเด็นก็คือ ท่านี้ดอเรียน เขาทำผิดแปลกจากชาวบ้านตรงที่ดันใช้การหงายมือจับบาร์ แทนที่จะคว่ำมือจับแบบที่คนอื่นเขาเล่นกันแล้วก็ไม่เคยมีปัญหา เพราะเขาถึงขนาดตั้งชื่อท่านี้เป็นชื่อของเขาเอง จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นเพราะความแผลงของเขาเอง  ถ้าเป็นอย่างเราๆท่านๆ คงจะไม่ค่อยบริหารท่านี้กัน และถึงบริหารก็คงไม่ใช้น้ำหนักที่หนักมากเหมือนคุณดอเรียนท์   และที่สำคัญ หลังจากรักษาแล้ว เขาก็ยังใช้ระบบ High Intensity ต่อไป และยังเอาชนะได้อีก 4 ปีจนเขาเกษียณตัวเองไป นั่นก็แปลว่าเขาทราบว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ระบบฝึก และเขายังคงเลือกระบบฝึกนี้ต่อไป

ประการที่ 2 คิดว่าไมค์  เมนเซอร์ น่าจะตายเพราะ "อัตตา" ของตัวเอง

            จากประสบการณ์การแปลตำราภาษาอังกฤษเกี่ยวกับเพาะกายนี้ ผมจับจุดได้ว่าคุณไมค์  เมนเซอร์ ใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษ สูงกว่าที่ฝรั่งเดินดินกินข้าวแกงเขาใช้กัน มันเป็นการแสดงออกถึงการมี "อัตตา" คือการยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง โดยที่เขาไม่รู้ตัว หมายความว่า ความพยายามจะแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้มีความรู้มาก สิ่งที่ตามมาก็คือความคิดที่ว่าทุกอย่างที่เขาคิด เขาสอนนั้น ถูกต้องทั้งหมด และจากการที่มีอัตตาสูงนี้เอง ทำให้เขาต้องคอยพิสูจน์อยู่ตลอดเวลาว่าเทคนิคการฝึกของเขาถูกต้อง ใช้ได้กับทุกเพศทุกวัย เมื่อพูดถึงว่า "การใช้น้ำหนักที่หนักมาก" คุณคิดถึงการใช้บาร์เบลล์ใส่แผ่นกี่แผ่นล่ะครับ แต่ในความหมายของเขานั้น คำว่าฝึกด้วยน้ำหนักมากนั้น คือต้องใช้น้ำหนักขนาดข้างล่างนี้ครับ
 


            ลองนึกภาพผู้ชายอายุ 50 กว่าๆ (คือตัวไมค์เอง) มาเล่นน้ำหนักขนาดนี้สิครับ  โอเค ถ้าเป็นวัยหนุ่มของคุณไมค์ก็อาจจะไม่มีปัญหา แต่เมื่ออายุมากขึ้น และไม่ยอมรับสังขาร เพื่อต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่าง ก็มักจะต้องแลกมาด้วยอันตรายอย่างที่เกิดขึ้นนั่นแหละครับ ดังนั้นสำหรับเราๆท่านๆนี้ ก็แค่ไม่ต้องใช้น้ำหนักมากเหมือนในรุปข้างบนนี้ คุณก็ใช้เทคนิค High Intensity ได้อย่างมีความสุขแล้วล่ะครับ
 

ภาพตอนไมค์ บริหาร


 

ประการที่ 3 เปรียบเทียบลูกศิษย์ของแต่ละค่ายดู

            ถ้าเปรียบเทียบด้วยลูกศิษย์คนละคน มันก็มองไม่เห็นชัดครับ มันต้องใช้ลูกศิษย์คนเดียวกันเลย นั่นคือคุณคาเซ่  เวียเตอร์ ครับ

            คุณคาเซ่ ฝึกกับคุณอาร์โนลด์ ในส่วนหนึ่งนั้นก็ยอมรับว่ากล้ามเขาชัด และเห็นเป็นมัดใช้ได้ทีเดียว แต่ผมเห็นว่าระดับความกว้างของบ่า หรือปีกยังไม่กว้างเหมือนพวกแชมป์ดังๆทั้งหลาย แต่ก็ยอมรับได้ในส่วนหนึ่งหากคิดว่าเขาได้ถึงศักยภาพสูงสุดของเขาแล้ว และเรื่องราวก็คงจะจบแบบมีความสุข ถ้าไม่บังเอิญว่าเขาดันไปฝึกกับไมค์ เมนเซอร์ ภายหลัง
 

            ยอมรับว่าครั้งแรกที่เห็นรูปข้างบนนี้ ยังคิดไม่ถึงว่าจะเป็นคุณคาเซ่ แต่พอดูชื่อข้างล่างแล้วก็เลยรู้ว่าใช่ ดูที่แขนท่อนปลายผมยังไม่ค่อยรู้สึกชื่นชมเท่าไร เพราะคนนี้เขาเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่มีแขนท่อนปลายซึ่งใหญ่และสวยงามอยู่แล้ว  แต่พอได้เห็นพัฒนาการเรื่อง ความกว้างของบ่า ปีก ความหนาของหน้าอก (เพราะตามปกติแล้ว ถ้าหน้าอกไม่หนาจริง เวลายกแขนขึ้นทั้งสองข้าง กล้ามเนื้อหน้าอกจะบางลงไปเลย) ในอายุขนาดนี้แล้วรู้สึกตกใจมาก เพราะร่างกายของเขาพัฒนาไปมากเหลือเกิน

            ภาพนี้(หมายถึงภาพในตารางสีเขียว รูปข้างล่าง) ก็เอามาจากบทความที่คุณคาเซ่ เขียนด้วยตัวเองในนิตยสารฉบับหนึ่ง ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าเขาใช้ระบบการฝึกแบบ
High Intensity จนสามารถเอาชนะศักยภาพของตัวเองได้ ทั้งๆที่มาเริ่มใช้ตอนแก่แล้ว


ประการสุดท้าย  กล้ามเนื้อของลูกศิษย์ไมค์

            ลองไล่นักเพาะกายที่เป็นลูกศิษย์ไมค์แต่ละคน เช่นดอเรียน เยทส์ ,ลี  ลาบราดา ,ฟิล  เฮอนอน แต่ละคนกล้ามเนื้อ "หนา" มากๆ ดูแน่น บึกบึน จนน่าขนลุก แล้วขอให้สังเกตุภาพข้างล่างนี้นะครับ
 

รูปข้างบนนี้ พอเอาแว่นขยายส่องแล้วก็จะเห็นดังภาพข้างล่างนี้ครับ
 

            ดูที่ลูกศรชี้นะครับ คุณจะเห็นเส้นสีแดงๆเป็นปื้นๆ (คนละแบบกับเส้นเลือดนะครับ) ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า "STRETCH MARKS" มันจะเกิดกับคนที่มีการเติบโต "เร็วมากผิดปกติ"  ตัวอย่างใกล้ๆตัวก็คือเพื่อนของคุณ สมมติว่าอายุ 15 ปี สูงแค่ 160 ซม. แล้วจู่ๆภายในแค่ 2 ปี วิ่งไปเป็น 180 ซม. พวกนี้แหละครับ จะเกิดอาการเส้นสีแดงๆนี้ขึ้นกันทั้งนั้น ขึ้นที่บริเวณขา หลัง หรือส่วนของกล้ามเนื้อที่มันยืดมันโตขึ้นมาเร็วมากๆน่ะครับ   มันคล้ายกับการที่กล้ามเนื้อภายในขยายตัวเร็วมาก แล้วผิวหนังมันตามไม่ทัน พวกปื้นพวกนี้จะเหมือนแผลเป็นนะครับ คือจะไม่หายไปไหน ถ้าจะเอาออกจริงๆก็ต้องติดต่อพวกโรงพยาบาลที่เรามีการใช้เลเซอร์รักษาแผลเป็นน่ะครับ คือต้องใช้แสงเลเซอร์ประมาณ 60 วินาที เพื่อไปทำลายสารโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของเยื่อยึดต่อ (เรียกว่า คอลลาเจน Collagen)  และทำลายเส้นใยโปรตีนบางตัว (Fibrous Protein)  ซึ่งก่อนจะทำการรักษานั้น ต้องทำให้เนื้อบริเวณดังกล่าวเกิดการชาก่อนครับ

            ที่เอามาให้ดูก็เพราะว่า คนที่ฝึกด้วยระบบ
High Intensity จะมีอาการอย่างนี้หลายคน เพราะร่างกายมันโตเร็วแบบผิดปกติไงครับ ซึ่งนั่นก็เป็นยอดปรารถนาของคนเล่นกล้ามทุกคนอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ มีเพื่อนสมาชิกเมลล์มาถามเกี่ยวกับอาการนี้หลายคน ผมก็ตอบเลยว่ามันเป็นเรื่องดีนะครับ ที่ร่างกายเราสูงขึ้น โตขึ้นเร็วมากน่ะครับ คนที่มีปื้นแบบนี้น่าจะเป็นคนที่ถูกอิจฉามากกว่าที่จะอายนะครับ

            เอาละครับ เดี๋ยวจะหาว่าเชียร์ระบบฝึกแบบนี้กันออกหน้าออกตา  ในส่วนของระบบ
High Volume ของคุณอาร์โนลด์ ก็มีข้อดีนะครับ คือ เวลาใช้เทคนิคเขาแล้ว มันจะได้ความรู้สึก "เต็มอิ่ม" ในการเล่นกล้ามจริงๆ ต่างกับ High Intensity ที่เล่นประเดี๋ยวประด๋าว (แค่ 20 นาที) ก็กลับบ้านแล้ว  โดยระบบฝึกของ High Volume เนี่ย จะเหมือนมีการเตรียมตัวออกเดินป่าเลยครับ คุณต้องพักผ่อนมาให้พอ ต้องอัดโปรตีน คุณจะได้อารมณ์ของธาตุทรหด ,กัดไม่ปล่อย ดูมันจริงจังดี เหมือนพวกนักมวยที่จะชิงแชมป์โลก ที่ต้องตรากตรำการฝึกทุกวันทุกวันน่ะครับ  ดูแล้วมันมีจุดมุ่งหมายในชีวิตเอามากๆเลย  ซึ่งคุณเทียรี่  พาสเทล ที่ใช้ระบบฝึกนี้ ก็พูดว่า เขามีความสุขกับการได้อยู่ในโรงยิมนานๆ เพราะเหมือนกับการอยู่ใกล้กับของที่รักนั่นแหละครับ เขาบอกว่า ต้องมองการเพาะกายเป็นเรื่องของ "ศิลปะ"  อย่าฝึกแค่ขอไปที
 


            อีกอันหนึ่ง คือระบบฝึกแบบ
High Intensity นั้น เป็นการเพิ่มเรื่องปริมาณกล้าม (ซึ่งอยู่คนละด้านกับความชัด) ทำให้เกือบทั้งปีจะดูเป็นคนอ้วนกลมบ๊อกเลย เหมือนคุณดอเรียน  เยทส์ นี่แหละครับ คือ รูปร่างช่วง Off Season กับรูปร่างช่วงแข่งขัน จะต่างกันราวฟ้ากับดิน    ในขณะที่ถ้าฝึกแบบ High Volume นั้น กล้ามจะชัดตลอดปีเหมือนคุณเทียรี่ ภาพบนนั่นแหละครับ คือมันจะใหญ่ขึ้น และชัดขึ้นไปพร้อมๆกันเลยโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาการทำแอโรบิคเหมือนพวก High Intensity ที่ต้องทำก่อนแข่งขันครับ เหตุผลก็เพราะการฝึกนานๆนั้น มันจะเหมือนพวกนักวิ่งมาราธอนน่ะครับ คือร่างกายจะเข้าไปลากเอาไขมันที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวหนังมาแปลงเป็นพลังงานใช้กันอย่างหนักเชียว เรียกว่าถ้ากินอาหารเข้าไปชดเชยไม่มากเพียงพอละก็ ถึงขั้นทำให้ร่างกายโทรมกันเลยทีเดียวครับ

            สรุปว่ามันก็มีดีมีเสียทั้งคู่แหละครับ ถ้าอยากกล้ามชัดด้วยใหญ่ด้วย ก็ต้องใช้
High Volume  คือฝึกแบบตรากตรำในโรงยิมไปเลย  แต่ถ้าอยากกล้ามหนาแบบทันตาเห็นก็ต้อง High Intensity ครับ คือเสี่ยงหน่อยแต่เล่นแล้วมันส์ เพราะอะดรีนารีน ออกมาเยอะดี แต่รับรองว่าทั้งสองระบบนี้มีข้อดีมากกว่าข้อเสียครับ ลองเลือกกันดูนะครับ หรือถ้าอยากใช้ทั้งสองอย่าง ก็ใช้ระบบฝึกที่ไวเดอร์เขาออกแบบให้ในหน้าที่ 2 และหน้าที่ 3 ก็ได้ครับ
 

- END -


 

1  <  2  <   3  4