HIGH INTENSITY |
|
ไมค์ เมนเซอร์ เจ้าของเทคนิค High Intensity อันโด่งดัง |
เชื่อได้ว่าหากคุณเป็นนักเพาะกายผู้ใฝ่รู้และมีไฟแรงคนหนึ่งในวงการ คุณจะต้องรู้สึกงงงวยไปกับ "วิธีสร้างกล้ามที่ดีที่สุด" ที่มีหลายคนพูดต่างกันไปมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งตามนิตยสาร และตามโรงยิม ต่างก็กล่าวว่าวิธีของตัวเองนั้น เป็น "วิทยาศาสตร์ของการเพาะกายยุคใหม่" แต่เพราะข้อมูลที่มากเกินไป และไม่เหมือนกันเลย จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่า วิทยาศาสตร์ในการเพาะกายมันมีจริงหรือไม่ หรือเป็นแค่คำกล่าวอ้างเฉยๆ มิหนำซ้ำ เมื่อมีผู้ทรงอิทธิพลบางคนในวงการเพาะกาย ที่ทำตัวเหมือนศาสดาสั่งสอนการเล่นกล้าม ก็ปรากฏว่าคำสอนของเขา บางครั้งก็ขัดแย้งกับคำพูดของตัวเองที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ ,บางครั้งก็พูดกำกวมไม่มีความชัดเจน ใช้คำพูดอันชาญฉลาดเพื่อหาทางสำรองไว้แก้ตัวเมื่อผู้ปฏิบัติตามไม่ได้ผลตามที่โฆษณาเอาไว้ คำพูดที่ผมจะบอกคุณนั้น ใช้หลักเหตุและผล ไม่ได้บอกให้เชื่อเพียงเพราะผมเป็นแชมป์หรือเป็นบุคคลน่าเชื่อถือ ผมขอเป็นผู้นำทางให้แก่นักเพาะกายที่ยังมี "ความอยาก" ในการสร้างกล้ามอย่างล้นเหลือ ,นักเพาะกายที่ยังไม่เลิกเล่นกล้ามเพราะความสับสนจากข้อมูลที่ผมพูดถึงก่อนหน้านี้ |
|
![]() |
เพียงปีเดียวที่ดอเรียน เยทส์ ใช้ระบบ High Intensity
ความเปลี่ยนแปลงก็เห็นได้ชัด |
สิ่งแรกคืออยากให้คุณทำความเข้าใจกับคำว่า
"วิทยาศาสตร์การเพาะกาย" ว่ามีจริงหรือไม่
คำว่าวิทยาศาสตร์นั้น ต้องหมายถึงสิ่งที่พิสูจน์ได้ ไม่กลับกลอก
ไม่คลุมเครือ หรือไหลไปเรื่อยๆไม่มีแก่นสาร
และเพราะว่าเรามีวิทยาศาสตร์ องค์การนาซ่า
ถึงได้ส่งมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์และนำกลับมาบนโลกได้อย่างปลอดภัย
ซึ่งวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับกล้ามเนื้อที่ผมพูดถึงนี้
ก็เป็นกฎธรรมชาติที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน มันมีอยู่จริง
เพราะหากแต่ละบุคคลไม่มีระบบเซลล์ ระบบอวัยวะ
ระบบปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย หรือระบบกล้ามเนื้อที่เหมือนกัน
หมอก็คงไม่สามารถผ่าตัด ,จ่ายยา
หรือเขียนตำราแพทย์มาให้คนรุ่นหลังได้ใช้วิธีรักษาโรคต่างๆได้
แต่เพราะมันเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ เราจึงสามารถทดลอง
ค้นคว้าระบบกล้ามเนื้อและระบบต่างๆในร่างกายได้ จริงอยู่ที่แต่ละบุคคลมีหน้าตา ผิวพรรณ ความสูงที่ไม่ซ้ำกัน แต่ในระบบกายวิภาค (Anatomically) และระบบสรีรวิทยา (Physiologically) ทุกคนจะเหมือนกันโดยธรรมชาติ และระบบปฏิกิริยาเคมีที่มีผลต่อการเติบโตของกล้ามเนื้อก็จะเหมือนกันทุกๆคน ,ตัวกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาเคมีที่ว่านั้น ก็จะเหมือนกันสำหรับทุกๆคนเช่นกัน มันได้ถูกค้นพบมาเป็นร้อยปีแล้วว่า สิ่งที่จะกระตุ้นปฏิกิริยาเคมีในการเติบโต ก็คือการให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นๆออกแรงต้านต่อวัตถุให้มากที่สุด และยิ่งถ้าออกแรงต้านได้จนถึง 100 เปอร์เซ็นต์ จนเกือบจะเกินขีดที่มันรับได้ เซลล์กล้ามเนื้อก็จะถูกกระตุ้นได้อย่างสูงสุด ช่วงเวลาแห่งการถูกกระตุ้นที่ว่านี้มัน อยู่ในช่วงเวลาที่สั้นมาก โดยจะอยู่ที่ ครั้งสุดท้าย ในเซทที่เรากำลังบริหาร ช่วงเวลาที่สั้นมากๆ ดังกล่าว มันจะตั้งอยู่ปลายขอบเขตแห่ง "ความสามารถที่จะทำได้" ซึ่งหากพ้นขอบเขตนี้ไปแล้วละก็ ร่างกายคุณจะได้รับความสูญเสียไม่ทางใดก็ทางหนึ่งทันที ฟังดูเป็นเรื่องอันตราย แต่ถ้าไปยืนตรงขอบเขตตรงนั้นได้ เซลล์กล้ามเนื้อของคุณก็จะถูกกระตุ้นอย่างสุดยอด เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ก็คือ ร่างกายจะพยายามสร้างเซลล์กล้ามเนื้อขึ้นมาใหม่ เพื่อขยายปลายขอบเขตแห่ง "ความสามารถที่จะทำได้" ออกไปอีก เพราะกลัวว่าในอนาคต หากคุณบริหารจนไปถึงจุดนั้นอีก ร่างกายจะเสี่ยงต่อความสูญเสียไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอย่างที่พูดไว้ข้างต้นนั่นเอง ด้วยระบบบริหารแบบ High Intensity เท่านั้น ที่จะทำให้คุณได้ไปถึง "ช่วงเวลาที่สั้นมากๆ" นั้นได้ ส่วนวิธีการอื่นๆเช่นบริหารด้วยจำนวนครั้งมากๆในแต่ละเซท หรือบริหารด้วยจำนวนเซทมากๆในแต่ละท่าบริหาร ไม่ได้ช่วยการกระตุ้นแต่อย่างใด เป็นเรื่องที่เสียเหงื่อและพลังงานไปเปล่าๆ มีทางเดียวที่ดีที่สุดก็คือการใส่ใจใน "ครั้งสุดท้าย" ของเซทเพียงเซทเดียว เมื่อคุณเริ่มยกน้ำหนัก 100 ปอนด์เป็นจำนวน 10 ครั้ง ในครั้งแรกที่คุณบริหาร (หมายถึง เมื่อคุณยกน้ำหนักขึ้นแล้วลง แล้วนับว่า 1 - Webmaster) ตอนนั้นความเข้มข้นในการฝึกเกิดขึ้นก็จริง แต่มีปริมาณน้อยมาก เพราะยังไม่มีแรงเครียดเกิดขึ้นที่กล้ามเนื้อมากมายนัก แต่เมื่อถึงครั้งที่ 10 หรือครั้งสุดท้ายที่คุณจะสามารถยกมันขึ้นได้ ถึงตอนนี้ความเข้มข้นย่อมเกิดขึ้นเป็นอย่างมากแล้ว และถ้าคุณต้องใช้พละกำลังทั้งหมดในตัวเพื่อทำครั้งที่ 10 ดังกล่าว คุณก็จะได้ความเข้มข้นเกิดได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์เต็มเลยทีเดียว |
|
เล่นท่าละ 1 เซทเท่านั้น แต่ครั้งสุดท้ายของเซทนั้น
จะต้องทำให้คุณใช้แรงจนเกือบหมดสติ |
หากคำถามของคุณคือ จะต้องทำกี่เซท?
ผมขอตอบตามหลักวิทยาศาสตร์เลยว่า ให้ทำแค่เซทเดียวสำหรับท่านั้นๆ
เพราะในเซทถัดไปหากใช้ท่าเดียวกัน มันไม่ได้มีผลแตกต่างกันแต่อย่างใด
เป็นการเสียเหงื่อ และเสียเวลาเปล่า
ยิ่งการทำมากเซทเท่าไรก็ยิ่งไม่ได้รับผลดีต่อกล้ามเนื้อ
ซึ่งผมสามารถจัดระบบการฝึกแบบ 6 วันต่อสัปดาห์ และฝีกด้วยหลายๆท่า
หลายๆเซท (ตามแบบฉบับของอาร์โนลด์ ชวาลเซเนกเกอร์)
ได้ว่าเป็นพวกเดียวกับการวิ่งมาราธอน
ซึ่งมันจะทำลายเซลล์กล้ามเนื้อคุณทั้งหมด |
|
การวิ่งมาราธอนก็เหมือนกับการเพาะกาย 6 วันต่อสัปดาห์
และเล่นวันละหลายชั่วโมง |
เมื่อร่างกายคุณได้รับความเครียดจากการฝึกแบบ
High Intensity แล้ว
คุณต้องให้เวลามันพักผ่อนเพื่อการพักฟื้นของกล้ามเนื้ออย่างเต็มที่
เพราะการพักฟื้นก็คือช่วงระยะเวลาที่ร่างกายสร้างเซลล์กล้ามเนื้อขึ้นใหม่
ผมแนะนำว่าให้พักเป็นเวลา 48 ชั่วโมงจะดีที่สุด
(หมายถึงว่าไม่มีการบริหารกล้ามเนื้อใดๆเลยในช่วง 48 ชั่วโมงนี้ -
Webmaster) มีนักเพาะกายหลายคนที่ทำผิดเพราะแบ่งตารางการฝึกเป็นแบบ 6 วันต่อสัปดาห์ โดยฝึกครึ่งหนึ่งในวันที่หนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งในวันที่สอง แล้วอ้างว่าร่างกายส่วนที่ถูกบริหารในวันแรก ก็จะได้พักในขณะที่บริหารส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งในวันที่สอง ซึ่งตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว เมื่อคุณบริหารด้วยท่าใดๆก็ตาม ร่างกายเกือบทั้งตัว ก็จะต้องร่วมออกแรงไปด้วย จึงเป็นไม่ได้เลยที่ร่างกายส่วนที่บริหารไปแล้ววันแรก จะไม่ได้ออกแรงช่วยในการบริหารวันที่สอง และนั่นทำให้ร่างกายคุณไม่ได้รับการพักฟื้นอย่างแท้จริง น่าเสียใจนักที่นักเพาะกายผู้กระตือรือร้นหลายคน ต้องหมดไฟจนเลิกล้มความตั้งใจเพราะไปเจอระบบฝึกที่ไม่ดีเสียตั้งแต่แรก มันทำให้เขาขาดศรัทธาในระบบฝึกต่างๆ เพราะได้พิสูจน์ด้วยตัวเองเป็นเวลาหลายปีแล้วลงเอยที่คำว่า "ไม่ได้ผล" "ไม่คุ้มกับเรี่ยวแรงและเวลาที่เสียไป" ขอให้คุณรู้ไว้เถอะว่าการสร้างกล้ามเนื้อเป็นวิทยาศาสตร์ และมีเพียงทฤษฎีเดียว ,เซทเดียว ที่ได้ผล (One Theory ,One Set) |