ประวัติศาสตร์การเพาะกาย
(โดย พ.ต.ต.วิษณุ   ตุวยานนท์)
 

แข็งแกร่ง แข็งแกร่งและงดงาม งดงาม

          ย้อนกลับไปเป็นพันปี สมัยโรมันกรีก  สมัยที่เราแบ่งชนชั้นกันที่ความแข็งแกร่ง เราเริ่มเห็นความแตกต่างกันได้อย่างชัดเจนระหว่างผู้ที่แข็งแรงเพียวๆ  ,ผู้ที่แข็งแรงและมีกล้ามเนื้องดงาม ,กับผู้ที่มีร่างกายงดงามเพียวๆ จะเห็นได้ว่าผู้ที่แข็งแรงเพียวๆก็เหมาะที่จะถูกนำไปรบพุ่ง หรือทำกิจกรรมอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการใช้พละกำลัง  ในขณะที่ผู้ที่มีร่างกายงดงามเพียวๆ ก็ถูกใช้เป็นชายบำเรอให้กับชายชนชั้นสูง (เรื่องฮอร์โมเซ็กชวลล์ มีมาตั้งแต่นั้นแล้วครับ)  คงเหลือแต่ผู้ที่อยู่ตรงกลางคือผู้ที่แข็งแกร่งและมีร่างกายงดงามพร้อมๆกัน คนพวกนี้ถูกกำหนดมาให้เป็นนักกีฬา และมีความเป็นอยู่ที่ดีเนื่องจากใครๆก็อยากให้นักกีฬาในสังกัด ชนะค่ายอื่นอยู่ร่ำไปจึงต้องได้รับฟูมฟักเป็นอย่างดี  ซึ่งหากจะให้ช่างแกะสลัก เลือกนายแบบมาเป็นแบบแกะสลักรูปปั้นนักกีฬาเขวี้ยงจักร เพื่อประดับสนามกีฬาในโรม เขาจะเลือกใครระหว่างชาย 3 คนข้างบนนี้?

          แม้ว่าจะยังไม่พบหลักฐานดัมเบลล์ บาร์เบลล์ของยุกกรีก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสมัยนั้นจะไม่มีการเพาะกาย นักกีฬาจะต้องฝึกตนให้แข็งแกร่ง และในขณะเดียวกันก็ต้องรักษาร่างกายให้สวยงามได้ตลอดปี เพราะถ้ามีแต่ความแข็งแกร่งแต่ร่างกายไม่สวยเสียแล้ว ก็ต้องถูกส่งไปออกรบแทน เขาอาจจะใช้การยกแผ่นอิฐ ,แผ่นเหล็ก และทั้งหมดนี้ก็ต้องควบคู่ไปก้บการดูแลอาหารการกินให้เหมาะกับนักกีฬาด้วย  ดังนั้นเงื่อนงำที่ให้สืบสวนว่ามีการเพาะกายมาตั้งแต่สมัยนั้น   ก็คงเป็นแค่รูปปั้นหรือรูปวาดของผู้ชาย ซึ่งชี้ให้เห็นว่านักเพาะกายได้รับการยอมรับด้วยการถูกนำมาเป็นแบบปั้นเหมือนพวกนักปกครองดังๆในยุคนั้น   (ส่วนรูปปั้นเดวิดทางซ้ายมือสุด เกิดขึ้นหลังยุคกรีกหลายร้อยปี ปั้นโดยไมเคิลแองเจลโล เมื่อ 400 ปีที่แล้ว ยุคเดียวกับลิโอนาโด ดาวินซี ซึ่งศิลปินทั้งสองคนนี้เคยวาดรูปบนผนังวัดแข่งกันด้วย แต่เสมอกัน)

          อุปกรณ์ดัมเบลล์  เริ่มมีการใช้มื่อ 300 ปีก่อนถึงปัจจุบันนี้ (ในส่วนนี้ผมอ่านเจอในหนังสือเพาะกายเล่มหนึ่ง ในหอสมุดแห่งชาติท่าวาสุกรี สมัยหลายสิบปีแล้ว แต่ไม่ได้ถ่ายเอกสารมาเก็บไว้ เพราะเขาไม่ให้ยืมออกมา และข้างในก็ไม่มีเครื่องถ่ายอีก) แต่เท่าที่ส่วนตัวผมมีข้อมูลนั้น เริ่มต้นเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งทั้งหมดที่พูดมานี้ เป็นเพียงบทนำที่จะนำเพื่อนสมาชิกเข้าสู่ประวัติการเพาะกายย้อนหลังไป 100 ปีครับ โดยจะใช้ของประเทศอเมริกาเป็นหลัก เพราะต้องถือว่าเขาเป็นแม่แบบของการเพาะกายยุคใหม่ (การเพาะกายยุคใหม่ Modern Bodybuilding เกิดเมื่อช่วงต้นปี ค.ศ.1970 หรือสามสิบเกือบสี่สิบปีมานี้)


 

ค.ศ.1900 (พ.ศ.2443)
          ปลายศตวรรษที่ 18  เริ่มแรกผู้คนในอเมริกาให้ความสำคัญกับเรื่องดุแลสุขภาพให้แข็งแรง โดยมีการทำงานในฟาร์ม ทานอาหารธรรมชาติ ไม่มีการดัดแปลงอาหารต่างๆ  ต่อมาเมื่อความเจริญเกิดขึ้นในตัวเมือง คนหนุ่มสาวจึงพากันเดินทางจากเมืองเล็กๆ จากชนบทเข้าสู่เมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยรถยนต์ เครื่องจักร  ด้วยสภาวะแวดล้อมแบบสังคมเมือง ทำให้เกิดการทานอาหารที่ไม่ดี ,ขาดการออกกำลังกาย ,มีความเครียดเกิดขึ้นจากการแข่งขันต่างๆในชีวิต ทำให้คนในเมืองต่างพากันร่างกายทรุดโทรม
          ในช่วงเวลาดังกล่าว มีผู้พยายามปลุกกระแสคนในเมืองให้ดูแลรักษาสุขภาพตนเอง และมีสร้างค่านิยมการยกย่องผู้ที่มีความแข็งแกร่งในร่างกาย เพื่อจะได้นำไปลบล้างกับค่านิยมที่หาแต่เงินอย่างเดียว ซึ่งเราเรียกว่า The Physical culturists 
 

แผ่นพับโฆษณายูจีน  แซนดาว ในยุคนั้น


          สมัยนั้น มีผู้แข็งแกร่งที่แสดงออกด้วยการโชว์พละกำลังตามงานต่างๆหลายๆคน และ ยูจีน แซนดาว (Eugene Sandow) ก็เป็นหนึ่งในนั้น เขามาถึงอเมริกาในปี ค.ศ.1890 (พ.ศ.2433) โดยมีพี่เลี้ยงคือ ฟลอเรนส์ เซย์เฟล ที่พาเขาตระเวณโชว์ตัวไปตามที่ต่างๆ  เขาโด่งดังมาจากการท้าแข่งอะไรก็ได้กับผู้ที่มีชื่อเสียงว่าแข็งแรงที่สุด และแน่นอนแซนดาวชนะเรียบ  พละกำลังของเขาราวกับมีมนต์วิเศษ เขายกคนสองคนขึ้นจากพื้น ,เขายกลูกเหล็กขนาดใหญ่ที่ทดลองให้คนสองคนช่วยกันยกอย่างทุลักทุเล แต่เขากลับยกขึ้นได้ด้วยมือเดียว ,เขาเอาเหล็กยาวๆพาดบนหน้าขา แล้วให้ม้าเดินผ่านเหล็กนั้น อันเป็นการแสดงถึงพละกำลังอันน่ามหัศจรรย์      และแล้วแม่แบบก็ถูกเลือก  ผู้ที่แข็งแรงแต่มีรูปร่างเหมือนถังเบียร์ ถูกตัดทิ้งไป  สังคมต้องการใครสักคนที่แข็งแรงด้วยและดูดีด้วย เขาต้องการคนที่มีรูปร่างเหมือนรูปปั้นชาวกรีก และแน่นอน ยูจีน  แซนดาว  ก็อยู่ตรงนั้น ในลักษณะถูกคน ถูกเวลา และถูกสถานที่ เขาเป็นซูเปอร์สตาร์ในยุคปิดศตวรรษที่ 18 พอดี (Turn of the century physical culture superstar)
 

ยูจีน  แซนดาว

 
          ไม่ใช่แค่ความแข็งแกร่งที่ทำให้แซนดาวดังเป็นพลุแตก แต่เพราะกล้ามเนื้ออันงดงามที่มาพร้อมกับความแข็งแกร่งนั้นด้วยต่างหาก  แซนดาวจะขึ้นไปบนเวทีแก้ว และโพสท่าต่างๆในสภาพไร้อาภรณ์ มีเพียงใบไม้ปิดของสงวนไว้เท่านั้น  ทุกๆคนจ้องมองไปที่เขา และผู้หญิงก็ได้แต่ร้อง "อู้.."  "อ้า.."  ทุกๆคนยอมรับในความสวยงาม ความสมส่วน และพัฒนาการของกล้ามเนื้อเขา     รูปร่างเพศชายในทัศนะใหม่ๆถูกสร้างขึ้นมา ณ.บัดนั้น  ศิลปินใช้รูปชายเปลือยเป็นตัวแสดงผลงานศิลปะต่างๆ และนั่นยิ่งทำให้แซนดาวยิ่งดังขึ้นไปอีก
 

ยูจีน กับบาร์เบลล์สมัยนั้น


          บาร์เบลล์และดัมเบลล์ของยูจีนขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เขามีรายได้อาทิตย์ละ 1 พันเหรียญ (ตกอาทิตย์ละ 25,000 บาท ซึ่งคุณพ่อของผมเล่าให้ฟังว่า ขนาดเมื่อ 80 กว่าปีที่แล้ว (ตอนนี้คุณพ่ออายุ 84 ปี) คุณปู่ซึ่งมีตำแหน่งเป็นท่านขุน (ขุนวิจัยจรรยา) มีเงินเดือน 500 บาท ยังสามารถมีภรรยาใหม่ได้เดือนละ 2 คน สมัยนั้นกล้วย 1 เครือ (แปลว่ามีหลายๆหวี) ราคาเพียง ครึ่งสตางค์ ของหรูๆสามารถซื้อกันในราคา 1 สตางค์ ก็แพงมากแล้ว) นอกจากนี้ ยูจีนยังทำให้เกิดการจ้างงาน คืออุตสาหกรรมเกี่ยวกับหนังสือและแม็กกาซีนขึ้นมาอีกมากมาย  และมีการประกวดชายงามโดยการใช้สายวัด วัดส่วนต่างๆเทียบขนาดกัน  ผู้ชนะจะได้รับถ้วยรางวัลที่เป็นหุ่นรูปยูจีน  แซนดาว ขนาดเล็ก และแน่นอน ผู้มอบรางวัลก็คือตัวยูจีนเอง
          ยูจีน แจ้งเกิดด้วยพละกำลังอันเหมือนมนต์วิเศษของเขา แต่นั่นก็เป็นสิ่งเดียวกับที่พรากเขาไปชั่วนิรันดร์ เมื่อครั้งหนึ่งรถของยูจีนวิ่งตกถนนไปแช่อยู่ในคูน้ำเล็กๆ แทนที่เขาจะให้รถมาลาก เขากลับใช้มือข้างเดียวของเขาเองยกรถคันดังกล่าวขึ้นมาได้ แต่เพราะการออกแรงมากเกินไป เขาเกิดอาการเลือดออกในสมอง ซึ่งจบชีวิตของเขาลงในเวลาต่อมา สิ้นสุดยุคของชายผู้หนึ่งที่กษัตริย์ จอร์จ แห่งประเทศอังกฤษ ขนานนามเขาว่า "ผู้เชี่ยวชาญการสร้างกล้ามเนื้อให้ยิ่งใหญ่ด้วยระบบวิทยาศาสตร์"


 

หน้าถัดไป


 

1  2  >  3