|
คำถาม :
ผมอ่านคำสัมภาษณ์แชมป์เพาะกาย
และได้ยินแนวความที่แตกต่างกันเกี่ยวกับเรื่อง
เซทที่เราควรบริหารแบบหมดแรงไปเลย 100% นั้น ควรใช้กับเซทไหน /
นักเพาะกายบางคนบอกว่าต้องบริหารแบบหมดแรง 100% ทุกๆเซทเลย /
แต่นักเพาะกายบางคนบอกว่า ให้ทำเฉพาะ "เซทสุดท้าย" ( ที่จะใช้แรงแบบหมดแรง
100% ) / และบางคนก็บอกว่า อย่าออกแรงหมดแบบ 100 % ไม่ว่าจะเป็นเซทไหนก็ตาม
เพราะจะต้องถนอมแรงไว้บ้าง ( ก่อนที่จะใช้ไปแบบหมด 100 % )
เพื่อใช้สำหรับการบริหารในเซทต่อไป / ผมขอถามว่า
ตัวผมเองตอนนี้กำลังเน้นเรื่องการเพิ่มปริมาณกล้ามเนื้ออยู่
ผมควรจะทำตามแนวทางไหนดี
|
ตอบโดย
Evan Centopani (
คลิ๊กเพื่อดูรูป ) : ผมรู้ดีว่าทุกๆคน
อยากให้ผมตอบด้วยคำตอบที่ฟันธงไปเลย
คือเป็นคำตอบที่สามารถใช้ได้กับทุกคน แต่ความจริงแล้ว
คำตอบแบบนั้นมันไม่มีหรอกครับ เหตุผลก็เพราะว่ามนุษย์เราในแต่ละคน
จะมีความแตกต่างกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง /
ยกตัวอย่างเช่นสมัยหนึ่งในอดีต นักเพาะกายนิยมบริหารด้วยท่าละ 2
เซท แต่ทำแบบหมดแรง 100 % ทั้ง 2 เซทเลย ซึ่งผลการฝึกนั้น ก็ "ได้ผลดี"
/ แต่แล้วก็มี ดอเรียน เยทส์ ที่ออกมาบอกว่า
ให้บริหารแต่ละท่า เพียง 1 เซทเท่านั้น เพียงแต่ว่าใน 1 เซทนั้น
ต้องบริหารแบบหมดแรง 100% ซึ่งผลปรากฏว่า มัน "ได้ผลดีกว่า"
โดยดูจากการปริมาณมัดกล้ามที่เพิ่มขึ้นหลังการฝึกแบบท่าละ 1 เซทของดอเรียน นั่นเอง (
คือหมายความว่า การบริหารแบบหมดแรง
100% จำนวน 2 เซท ก็ให้ผลดีนะ ไม่ใช่ว่ามันไม่ได้ผล
แต่การบริหารแบบหมดแรง 100% จำนวนแค่ 1 เซทนั้น ได้ผล "ดีกว่า"
) / ดอเรียน ให้เหตุผลเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า
ทำไมการบริหารแบบหมดแรง 100% ในจำนวนแค่ 1 เซทจึงได้ผลดีกว่า
นั่นก็คือว่า เมื่อเรารู้แล้วว่าเราจะบริหารท่าใดท่าหนึ่งเพียง 1
เซท เราย่อมใส่แรงกายและแรงใจทั้งหมดที่มีเข้าไปไว้ในเซทนั้น
เพราะเรารู้แล้วว่าเราจะไม่มีโอกาสแก้ตัวเป็นครั้งที่ 2 (
หมายความว่า จะไม่มีเซทที่ 2 )
ซึ่งนั่นทำให้คุณมีความเข้มข้นในการบริหารเป็นอย่างมาก
คำแนะนำส่วนตัวของผมก็คือ คุณควรทดลองด้วยตัวเองจะดีกว่า
เพราะนักเพาะกายบางคน ที่บริหารหลายเซท โดยแต่ละเซทนั้น เขาใช้แรงหมด 100%
เลย ก็ได้ผลการฝึกที่ดี ในขณะที่นักเพาะกายบางคน
ไม่ใช้การฝึกแบบหมดแรง 100% เลย ไม่ว่าจะเป็นเซทใดๆก็ตาม
แต่ผลการฝึกของเขาก็ดีเช่นกัน ด้วยเหตุผลนี้
ผมจึงอยากให้คุณทดลองด้วยวิธีทั้งหมดก่อน ว่าอันไหน work
สำหรับคุณ คุณก็เลือกอันนั้น
แต่ถ้าคุณยังคิดว่ามันก็ไม่ได้ผลดีทั้งสองแบบนั่นแหละ
คุณก็หาทางเดินสายกลางระหว่างสองวิธีนั้น
เหตุผลหลักที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างการฝึกแบบทุ่มแรง 100%
ในทุกๆเซท กับการฝึกแบบไม่ทุ่มแรง 100% ไม่ว่าจะเป็นเซทใดก็ตาม
ก็คือ "ความเร็วในการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อ ของแต่ละบุคคล"
มีไม่เท่ากัน บางคนใช้เวลาฟื้นตัวหลังการฝึกด้วยเวลาอันเร็ว
คนลักษณะนี้ จะเหมาะกับการฝึกแบบบริหารให้ได้ 100% ทุกๆเซท /
ในขณะที่บางคน ต้องใช้เวลาฟื้นตัวหลังการฝึกค่อนข้างมาก
คนลักษณะนี้ ก็ควรใช้แรง 100% แค่สำหรับเซทสุดท้าย
หรือไม่ต้องใช้แรง 100% ไม่ว่าจะเป็นเซทใดๆก็ตาม
|
|
ตอบโดย
Victor Martinez (
คลิ๊กเพื่อดูรูป ) : ผมไม่มีความเชื่อในเรื่องการใช้แรงหมด
100% ในทุกๆเซท / สมัยวัยรุ่น ผมใช้เวลา 3
ปีแรกของการออกกำลังของผม ด้วยการเล่นกีฬา
Powerlifting
เพียงอย่างเดียว ในกีฬา
Powerlifting เราจะยกน้ำหนักกันแค่ 1
Rep ยกตัวอย่างเช่นในท่า
Bench press ผมยกน้ำหนักได้ 405 ปอนด์ แต่จะยกแค่ครั้งเดียว
คือทุ่มแรง 100% ไปกับครั้งเดียวที่ว่านั้นเลย
ไม่มีการทำจำนวนRep ( ใน 1 เซท
) ให้ยืดยาวไปเรื่อยๆจนหมดแรง 100% แล้วถึงจะเริ่มทำเซทใหม่แต่อย่างใด
สิ่งเปราะบางอย่างหนึ่งที่คุณจะต้องระวังภายในร่างกายของคุณก็คือ
ระบบประสาท ( nervous system )
เพราะเมื่อคุณบริหารทุกเซท ด้วยการใช้แรงหมดแบบ 100%
ในทุกๆเซทนั้นเลย มันจะทำให้ระบบประสาทของคุณทำงานผิดปกติ
อันเป็นที่มาของอาการ
OverTrain
สำหรับคำแนะนำส่วนตัวของผม ที่ผมเห็นว่าดีที่สุดก็คือว่า
แต่ละเซทที่คุณจะบริหารนั้น
คุณควรเพิ่มปริมาณลูกน้ำหนักให้หนักขึ้นเรื่อยๆ แต่ลดจำนวน Reps
ในเซทลงเรื่อยๆ แล้วจัดให้ 2 เซทสุดท้าย ที่ให้คุณใช้แรงหมดแบบ
100% ยกตัวอย่างเช่นการเล่นไบเซบ ในเซทแรกคุณควรบริหาร 20 Reps
,เซทที่สองบริหาร 15 Reps (
แต่เพิ่มปริมาณลูกน้ำหนักที่ใช้ขึ้น ) ,เซทที่สามบริหาร 10
- 12 Reps (
แต่เพิ่มปริมาณลูกน้ำหนักที่ใช้ขึ้น ) ,เซทที่สี่บริหาร 10
- 12 Reps โดยในเซทที่สามและเซทที่สี่นี้
คุณเลือกขนาดน้ำหนักที่ทำให้คุณหมดแรงตั้งแต่ Reps ที่ 10 แล้ว
แต่ให้คุณฝืนเล่นให้ครบ 12 Reps ซึ่งใน Reps ที่ 11 และ Reps ที่
12 นี้แหละ ที่จะทำให้คุณหมดแรง 100%
|
|
ตอบโดย
Juan Morel (
คลิ๊กเพื่อดูรูป ) : การยึดถือแนวทางสายกลาง
น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน เพราะการที่คุณรีดแรงหมด
100% ในทุกๆเซท มันจะเป็นการเผาทำลายระบบประสาท (
nervous system )
ให้เสียหาย อีกทั้งการใช้พลังแบบนั้น
จะทำให้คุณไม่สามารถบริหารจนครบจำนวนเซทที่กำหนดไว้ได้
ในทางกลับกัน ถ้าคุณไม่มีสักเซทเลยที่จะออกแรงแบบหมด 100%
นั่นก็ไม่เป็นการดีอีกเช่นกัน เพราะเซลล์กล้ามเนื้อจะถูกกระตุ้น
"ไม่เข้มข้นพอ" ที่จะทำให้เกิดการเติบโตได้
สำหรับคำแนะนำของผมนั้น ก่อนอื่น ต้องดูว่าเราบริหารท่าอะไร
และจำนวนเซทที่เหมาะสมสำหรับการบริหารท่านั้น เป็นกี่เซท (
คือลองผิดลองถูก จนรู้ด้วยตัวเอง
) ยกตัวอย่างเช่นการบริหารท่า Squats ที่ผมจะบริหาร 5
เซทนั้น เมื่อผมบริหารเซทที่ 4 และเซทที่ 5 ผมจะทุ่มแรงแบบหมด 100%
สำหรับเซทที่ 4 และเซทที่ 5 นี้เลย /
แต่ถ้าเป็นการบริหารท่าอื่นที่บริหาร 3 เซท ผมจะบริหาร 2
เซทแรกแบบพอมีแรงเหลือบ้าง แต่พอบริหารเซทที่ 3 (
ซึ่งเป็นเซทสุดท้าย )
นั่นแหละผมถึงจะทุ่มแบบ 100% ให้กับเซทที่ 3 นั้นเพียงเซทเดียวเลย
ส่วนปัญหาที่ว่า "จำนวน Reps ในแต่ละเซท" ควรจะเป็นเท่าไร? อันนี้
มันขึ้นกับแต่ละบุคคล ยกตัวอย่างเช่นตัวผมเองนั้น
เหมาะกับการบริหารแบบ จำนวน Reps ที่มากๆ ดังนั้น ผมจึง
"ลดจำนวนเซท" (
คือบริหารแต่ละท่าด้วยจำนวนเซทที่น้อยกว่าคนทั่วไป
แต่ว่าในแต่ละเซทที่บริหาร จะบริหารด้วยจำนวน Reps
ที่มากกว่าคนทั่วไป )
เพื่อให้ผมสามารถบริหารท่านั้นๆ จนจบได้
เพราะถ้าบริหารด้วยจำนวนเซทที่มากด้วย และจำนวน Reps
ในแต่ละเซทก็มากด้วย อย่างนี้คงบริหารไม่จบเป็นแน่ / สรุปตรงนี้คือ
คุณต้องฟังร่างกายของคุณ ว่าคุณเหมาะกับจำนวนเซทเท่าใด
และคุณเหมาะกับจำนวน Reps ในแต่ละเซทเท่าไร
|
|
ตอบโดย
Steve Kuclo (
คลิ๊กเพื่อดูรูป ) : การบริหารทุกเซทแบบให้หมดแรง 100% นั้น
ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องแต่อย่างใด ที่ถูกแล้ว
คุณควรเก็บเอาไว้ใช้สำหรับหนึ่งเซท
หรือสองเซทสุดท้ายสำหรับท่านั้นๆ นั่นแหละถึงค่อยรีดแรงออกมาแบบ
100%
ก่อนจะบริหารท่าใดๆ คุณต้องสต๊อกพลังงานเพียงพอที่จะบริหาร
"ครบเซท" ตามที่กำหนดไว้ ดังนั้น
ถ้าคุณใช้แรงหมดสต๊อกไปในการบริหาร "เซทแรก" แล้วเซทที่เหลือ
คุณจะเอาแรงที่ไหนไปบริหารได้ล่ะครับ?
คุณคงได้ยินศัพท์เพาะกายที่พูดว่า
นักเพาะกายต้องเลือกเอาระหว่างการบริหารที่เข้มข้นมากๆ (
Harder ) กับการบริหารที่นานๆ (
Longer )
เพราะเราไม่สามารถทำสองอย่างพร้อมกันได้ นั่นแหละคือคำตอบที่ว่า
ทำไม เมื่อเราใช้แรงหมด 100% ไปกับเซทแรกแล้ว
เราก็จะไม่สามารถบริหารเซทที่เหลือต่อได้
สำหรับตัวผมเองนั้น ผมชอบเพิ่มน้ำหนักที่บริหารขึ้นทุกๆเซท
นั่นย่อมหมายความว่า ในเซทสุดท้าย ก็จะเป็นเซทที่ผมใช้
"ปริมาณลูกน้ำหนัก" ที่หนักที่สุด นั่นก็หมายถึงว่าในเซทสุดท้ายนี้
ผมต้องใช้พลังในร่างกายมากที่สุด (
เพื่อยกปริมาณลูกน้ำหนัก ที่หนักที่สุด ที่อยู่ในเซทสุดท้าย
) นั่นเอง อาจเปรียบเทียบได้ว่า
ในเซทแรกๆมันเป็นเหมือนการวอร์ม จากนั้น
ก็ค่อยๆเพิ่มความยากขึ้นไปในแต่ละเซท จนกระทั่งถึงจุดที่ยากที่สุด
โหดที่สุด ซึ่งก็คือเซทสุดท้าย ที่ผมจะต้องใช้แรง 100%
จัดการมันนั่นเอง
ผมไม่เห็นด้วยกับการบริหารที่ไม่มีเซทไหนเลยที่คุณได้ออกแรงหมด
100%
เพราะว่าถ้ากล้ามเนื้อคุณไม่ได้สัมผัสกับความเค้นแบบโหดๆบ้างแล้วล่ะก็
มันก็ยากที่เซลล์กล้ามเนื้อของคุณจะเติบโต
คุณต้องให้กล้ามเนื้อได้ก้าวผ่านลิมิตของตัวเองบ้างหากคุณยังหวังการเติบโตของเซลล์กล้ามเนื้อนะครับ
/ และจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เท่าที่ผมได้สัมผัส
ได้พูดคุยกับนักเพาะกายในวงการมามากมาย
ผมยังไม่เคยเห็นนักเพาะกายคนไหนเลยที่จะพูดว่า เขาไม่เคยใช้แรงหมด
100% ไปกับการบริหารบางเซท
|
|
แทรกคำอธิบายโดย Webmaster -
เพื่อนสมาชิกที่มีตารางฝึกของผม
เมื่อได้อ่านคำแนะนำของแชมป์ข้างบนนี้แล้ว อาจเกิดความสงสัยว่า
แชมป์บอกว่า ให้เล่นแบบหมดแรง 100% เฉพาะเซท
หรือสองเซทสุดท้ายเท่านั้น ( เช่น
การเล่นกล้ามหน้าอก ที่ตารางฝึกผมกำหนดไว้ให้เล่น 4 เซทนั้น
ถ้ายึดตามคำพูดแชมป์แล้ว ก็หมายถึงว่า เล่นธรรมดาแค่ 3 เซท
แล้วเซทสุดท้าย ( คือเซทที่ 4 ) ก็ค่อยเล่นแบบหมดแรง 100% )
แต่ในตารางฝึกของผม
ให้เล่นกล้ามหน้าอก ( สมมติ )
ให้ได้ 4 เซท โดยในแต่ละเซทนั้น
ให้เลือกบาร์เบลล์ที่หนักแบบว่าบริหาร 8 ครั้งแล้วหมดแรงพอดี /
เพื่อนสมาชิกก็เลยสงสัยว่า ถ้าอย่างนั้น ในตารางฝึกของผม
ก็คือการให้บริหารแบบหมดแรง 100% ทั้ง 4 เซท (
ตามที่ผมกำหนดจำนวนเซทไว้ในตาราง
) ยังงั้นหรือ? เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริง (
คือบริหารแบบหมดแรงทั้ง 4 เซท )
มันก็ขัดกับคำสอนของแชมป์ข้างบนนี้สิ?
คำตอบมันเป็นอย่างนี้ครับ - คือว่า ที่บรรดาแชมป์พูดถึงข้างบนนี้
ที่เขาบอกว่าเล่นให้หมดแรง 100% (
เฉพาะหนึ่งหรือสองเซทสุดท้ายในแต่ละท่าบริหาร ) ในที่นี้คือ
taking sets to failure มันก็เหมือนการใช้เทคนิค
Forced Reps น่ะครับ
ส่วนในตารางฝึกของผม ที่บอกว่าเล่นให้ได้เซทละ 8 Reps
โดยแต่ละเซทที่เล่นนั้น ให้เลือกขนาดน้ำหนักที่เล่นได้ 8 Reps
แล้วหมดแรงพอดี ( หมดแรงตอนท้ายเซทพอดี
) มันคือการหมดแรงแบบ ไม่ถึงกับ หมด 100% ไปเลย
คือเป็นการหมดแรง แบบที่ไม่ถึงกับใช้เทคนิค Forced Reps น่ะครับ
|
คำถาม :
สมมติว่าคุณเป็นโค้ชเพาะกายให้กับนักเพาะกายวัยหนุ่มอย่างผม
ซึ่งมีเงินในกระเป๋าติดตัวน้อยมาก คุณจะแนะนำผมให้ใช้งบประมาณ (
อันน้อยนิดของผม ) ซื้ออาหารเสริมอะไรบ้างครับ?
|
ตอบโดย
Evan Centopani : (
Webmaster -
ก่อนที่จะเข้าถึงตัวคำตอบของเขา ผมขอแทรกความรู้ตรงนี้ก่อนนะครับ
ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับคำตอบของคุณ Evan ด้วยครับ -
ในร่างกายมนุษย์ทุกๆคนบนโลกนั้น
ธรรมชาติได้กำหนดระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกายไว้ให้อยู่ในความ
"สมดุล" / แต่แล้ว ก็ปรากฏว่ามีมนุษย์จำพวกหนึ่ง
ที่มีพฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่ "ไม่สมดุลกับที่ธรรมชาติออกแบบไว้"
มนุษย์พวกนั้นก็คือ "นักเพาะกาย" เรามาดูกันว่าทำไมถึงไม่สมดุล
มนุษย์ปกติ
ธรรมชาติออกแบบให้มีวัฏจักรการ กิน ถ่าย นอน สืบพันธุ์ -
แต่นักเพาะกายมีการเพิ่ม "การออกกำลังกายที่ใช้แรงอย่างมาก"
เข้ามาในวัฏจักรด้วย
มนุษย์ปกติ
ธรรมชาติออกแบบมาให้ร่างกายดูดซับประโยชน์จากการทานไข่ได้ 2
ฟองต่อวัน - แต่นักเพาะกายดันทานไข่วันละ 35 - 72 ใบ
มนุษย์ปกติ
ธรรมชาติออกแบบมาให้ร่างกายปรับอุณภูมิในตัวเองให้เสถียร
เมื่ออยู่ในภาวะไขมันตามผิวหนังประมาณ 10% - แต่นักเพาะกาย ช่วง
Off season ดันมีไขมัน 17% แล้วพอเข้าช่วงแข่งขัน
ดันมีไขมันเหลือแค่ 5% คือไขมันที่ผิวหนังของนักเพาะกาย
มันขึ้นๆลงๆแบบสุดโต่ง มันไม่เสถียรเหมือนคนปกติ
มนุษย์ปกติ ที่มีความสูง 175 ซม. ควรจะมีน้ำหนักตัว 70
กก.ตามที่ธรรมชาติออกแบบน้ำหนักตัวที่เหมาะกับความสูงเอาไว้ -
แต่นักเพาะกายระดับแข่งขันที่สูง 175 ซม.
ส่วนมากดันมีน้ำหนักตัวแตะๆ 140
กก.คือเป็นสองเท่าของที่ธรรมชาติออกแบบไว้
มนุษย์ปกติ
ธรรมชาติออกแบบมาว่า สมดุลก็คือการดื่มน้ำวันละ 4 แก้ว -
แต่นักเพาะกายช่วงเวลาปกติ ดื่มน้ำวันละ 3 แกลลอน
คือมากกว่าที่ธรรมชาติออกแบบไว้ แล้วพอเป็นช่วง "สองวัน"
ก่อนขึ้่นประกวด ก็เหลือ "ดื่มแค่วันละ 3 อึก"
จนเจอสภาวะเจียนตายเพราะขาดน้ำ มันจึงเป็นสภาวะสุดโต่ง
ที่ผิดธรรมชาติ เดี๋ยวมากเกิน เดี๋ยวน้อยเกิน
มนุษย์ปกติ ร่างกายดูดซับโปรตีน ,คาร์โบไฮเดรต
และสารอาหารต่างๆได้จากอาหารปกติที่ทานเข้าไป คือ
ธรรมชาติออกแบบระบบการดูดซับประโยชน์เอาไว้สำหรับการทานอาหารปกติ -
แต่นักเพาะกาย ดันทานอาหารเสริม เพิ่มเข้าไปจากการทานอาหารปกติอีก
เช่นทาน เวย์โปรตีน ,ครีเอทีน ,อาร์จีนีน ,แอล คาร์นิทีน
,คาร์โบไฮเดรตสำเร็จรูปสำหรับก่อนฝึก
และคาร์โบไฮเดรตสำเร็จรูปสำหรับหลังฝึก
ฯลฯ
ทั้งหมดที่พูดมานี้ อวัยวะที่ต้องรับผิดชอบ ต้องรับภาระหนักก็คือ "หัวใจ
- ตับ - ไต"
คือ หัวใจ - ตับ - ไต มันจะไม่มีปัญหาเลย
ถ้ามันทำงานอยู่ในร่างกายของคนธรรมดาทั่วไป
เพราะร่างกายออกแบบมาให้มันทำงานไปได้เรื่อยๆ
แต่เมื่อ หัวใจ - ตับ - ไต มันทำงานอยู่ในร่างกายของ "นักกีฬา"
มันจึงต้องทำงานหนักกว่าการทำงานในร่างกายของคนปกติ
ในส่วนของหัวใจนั้น เราตัดออกไปได้ เพราะหัวใจนั้น
แข็งแรงจากการออกกำลังกายของนักกีฬาอยู่แล้ว
ดังนั้น ส่วนที่เราจะต้องดูแลเป็นพิเศษก็คือ ตับ และไต
ของนักกีฬานั่นเอง
หากเราปล่อยให้การทำงานของตับและไตเป็นไปอย่างอนาถา
ไม่ดูแลเป็นพิเศษ มันก็เหมือนถังขยะในบ้าน
ที่มีแต่คนเอาขยะมาทิ้งจนเต็ม
แต่ก็ไม่มีคนนำไปถังไปทิ้งขยะข้างนอกก่อน
มันก็เลยหมักหมมอยู่อย่างนั้น
ไม่สามารถรองรับขยะชุดใหม่ๆที่จะเพิ่มเข้ามาอีกได้ /
แต่ถ้าเราดูแล ตับ และไต ของเราจนแข็งแรงแล้ว มันก็จะมีระบบ
Restart หรือทำความสะอาดตัวมันเองได้
เหมือนกับเอาถังขยะไปทิ้งนอกบ้าน แล้วเอาถังขยะมาวางไว้ที่เดิม
เพื่อรอรับการทิ้งขยะชุดใหม่ๆได้
แล้วอะไรคือวิธีดูแล ตับและไต ให้แข็งแรง ? คำตอบก็คือ การทาน "วิตะมินและเกลือแร่"
นั่นเอง ( ในขณะที่นักเพาะกายส่วนใหญ่ เน้นไปทางด้านโปรตีน
,คาร์โบไฮเดรต ,ไขมันแบบดี ฯลฯ
แต่ทุกคนมองข้ามการทานวิตะมินและเกลือแร่ ซึ่งสำคัญกับตับ และ ไต
เป็นอย่างมาก / เอาล่ะครับ ตอนนี้เข้าสู่คำตอบของคุณ Evan
ได้แล้วครับ )
การตอบคำถามนี้เป็นเรื่องที่ลำบากใจ
เพราะคำตอบของผมในครั้งนี้ คงจะไม่ถูกใจบรรดาสปอนเซอร์สักเท่าไร
( Webmaster - คือสปอนเซอร์
คาดหวังจะให้ Evan พูดเชียร์สินค้าตัวดังๆ เช่น เวย์โปรตีน
หรือพวกอาหารเสริมรุ่นใหม่ๆของบริษัท ที่พึ่งคิดค้นออกมา )
นั่นคือ ผมจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพพื้นฐาน
และเรื่องระบบการป้องกันโรคภัยความไข้เจ็บในร่างกายของผมเสียก่อน
เมื่อทุกอย่างโอเคแล้ว ผมถึงจะเริ่มทานอาหารเสริมที่มีประสิทธิภาพ
เช่น
อาหารเสริมที่ทานก่อนเล่นกล้าม (
pre-workout )
การให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพพื้นฐาน ฯลฯ ที่ผมพูดนั้น หมายถึง
การดูแลเรื่อง ระบบการย่อยอาหาร
ซึ่งถ้าระบบการย่อยอาหารของคุณมีความมั่นคงแล้ว
มันจะส่งผลให้การทำงานของ ตับ ทำงานได้ดีขึ้น
รวมไปถึงระบบการทำงานของอวัยวะส่วนอื่นๆก็จะดีขึ้นไปด้วย /
หากระบบการทำงานของตับ และระบบอื่นๆทำงานได้ไม่ดีแล้วล่ะก็
แม้ว่าคุณจะทานอาหารเสริมดีๆ แพงๆเข้าร่างกาย
การนำเอาประโยชน์จากอาหารเสริมพวกนั้นมาใช้
ก็จะเป็นได้แบบไม่มีประสิทธิผล
ตอนที่คุณเริ่มเล่นกล้ามครั้งแรก คุณจะต้องเริ่มจากการใช้
วิตะมินรวมและเกลือแร่สูตร Antioxidant
ตัว ubiquinol แบบสูตรลด CoQ10
ผมได้ความรู้นี้มา
ก็เนื่องจากว่าสมัยที่ผมยังเป็นวัยรุ่น
ผมทำงานอยู่ที่ร้านขายอาหารเสริมยี่ห้อ GNC
แล้วมันจะมีอาหารเสริมบางตัวที่ลูกค้าเขาเอามาคืน
ซึ่งในส่วนของอาหารเสริมที่เอามาคืนนี้ ผมสามารถทานได้ฟรี (
People return products ,which meant i
could try them out for free ) / อีกทั้ง
มันยังมีช่วงโปรโมชั่นลดราคาอาหารเสริมของ GNC บ่อยๆอีกด้วย
/ ด้วยเหตุผลนี้ ผมจึงได้ทดลองทานอาหารเสริมหลากหลายรูปแบบมาก (
So I tried a very wide array of
supplements designed to do many differnt things )
/ และหลังจากใช้เวลาเป็นปีในการทดลองทานอาหารเสริมในรูปแบบต่างๆ
ผมสรุปได้ว่าหมวดที่ให้ผลดีที่สุดคือ หมวดของ
วิตะมินรวมและเกลือแร่ ( Webmaster
- ตรงนี้ ต้นฉบับไม่ได้พูดว่าเป็นสูตร Antioxidant น่ะครับ
) / เนื่องจากมันทำให้ผมรู้สึกสดชื่น ,สุขภาพดี
และยิ่งเห็นผลแตกต่างได้ชัดในเวลาที่บริหารในโรงยิม (
เมื่อเทียบกับการทานอาหารเสริมตัวอื่น
แล้วมาบริหารที่ยิม ) / ตัววิตะมินรวมและเกลือแร่
ไม่ใช่ตัวที่ถูกทำการตลาดมากนัก ก็เลยไม่ได้ดูน่าใช้เหมือนตัวอื่นๆ
แต่จากประสบการณ์ของผมแล้ว มีตัวนี้เท่านั้น ที่ดีที่สุดครับ
หลังจากซื้อตัววิตะมินรวมและเกลือแร่มาทานแล้ว
หากคุณยังพอมีงบเหลือสำหรับตัวอื่นๆ ผมก็ขอแนะนำตัว Carbohydrate
and Amino Drink เพื่อให้คุณดื่มระหว่างการฝึก "หรือ"
หลังฝึกเสร็จก็ได้ ,จากเครื่องดื่มนี้ คุณจะได้สาร EAAs (
Essential amino acid ) และตัว
Dextrose ซึ่งทั้งหมดนี้ คุณซื้อได้ในราคาถูกมากๆ /
การฟื้นตัวหลังการฝึกเป็นเรื่องพื้นฐาน และเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ
ซึ่งนักเพาะกายเป็นจำนวนมากละเลยเรื่องการฟื้นตัวหลังการฝึก /
ระบบฮอร์โมนจะทำงานดีขึ้นหากเราได้รับการฟื้นตัวโดยเร็ว
ดังนั้น คุณจะต้อง ทำอย่างไรก็ได้
ให้ฟื้นตัวหลังการฝึกได้เร็วที่สุด (
คำว่าทำอย่างไรก็ได้
ก็หมายถึงการเลือกใช้อาหารเสริมตัวที่ทำให้ฟื้นตัวได้หลังฝึกได้เร็ว
) ( Webmaster -
จากเครื่องดื่มที่ Evan พูดถึง คือตัว
Carbohydrate and Amino
Drink นั้น ผมหาที่ Google ไม่เจอนะครับ ข้อสันนิษฐานของผม
ก็คือว่า น่าจะเป็นเครื่องดื่มในลักษณะข้างล่างนี้
 |
aquickbite.net |
แต่ถ้าอีแวน
ไม่ได้พูดถึงเครื่องดื่มแบบในรูปข้างบนนี้
ผมก็จะวิเคราะห์ต่อว่าเครื่องดื่มที่อีแวนพูดถึง มันคืออะไร
ดังข้างล่างนี้ครับ
1.( ภาพบน ) ต้นฉบับ ให้คำว่า "และ" (
and ) ไม่ใช่ใช้คำว่า "หรือ" ( or ) นั่นหมายความว่า
ในการดื่มครั้งนี้ คุณจะต้องทานเครื่องดื่มที่มีคาร์โบไฮเดรต
และเครื่องดื่มที่มีอะมิโนแอซิด
ซึ่งหากมันไม่ได้รวมอยู่ในขวดเดียวกัน
คุณก็ต้องทานทั้งที่เป็นเครื่องดื่มคาร์โบไฮเดรต ( ในข้อ 2. -
ข้างล่างนี้ ) และเครื่องดื่มอะมิโนแอซิด ( ในข้อ 3. - ข้างล่างนี้
)
2.คำว่าเครื่องดื่มคาร์โบไฮเดรต อีวาน ยืนยันเลยว่า
ต้องเป็นตัวที่ให้ Dextrose ดังนั้น นั่นก็หมายถึงการใช้ผง
Dextrose ผสมกับน้ำแล้วดื่ม โดยผง Dextrose ดังกล่าว
มีหน้าตาเหมือนในลิงค์นี้
http://www.tuvayanon.net/D-fd9-001001A-570603-0002.html
3.คำว่าเครื่องดื่มที่มีอะมิโนแอซิด
อีวาน พูดชัดเจนว่า อะมิโนแอซิดนั้น ต้องหมายถึง essential amino
acid ( EAAs ) เท่านั้น นั่นก็คือว่า
ต้องเป็นเครื่องดื่มที่มีลักษณะเหมือนในลิงค์นี้
http://www.tuvayanon.net/E-fd9-001001A-580101-1829.html
สรุป
ในทางปฏิบัติของเพื่อนสมาชิกก็คือว่า ลองไปดูที่ร้าน
เซเว่นอีเลฟเว่น ก่อนว่า เจ้าพวกเกเตอเรท
หรือเครื่องดื่มชดเชยเกลือแร่ทั้งหลายนั้น ตรงส่วนประกอบ (
ที่เขียนไว้ที่ฉลากข้างขวด ) มีตัว Dextrose และมีตัว essential
amino acid อยู่หรือเปล่า
ถ้ามีอยู่ในขวดเดียวกัน
ก็ซื้อมาดื่มได้เลย
ถ้ามีอยู่ใน 2 ขวด 2 ยี่ห้อ คือ
ยี่ห้อหนึ่งมี Dextrose ( แต่ไม่มี essential amino acid )
กับอีกยี่ห้อหนึ่ง มี essential amino acid ( แต่ไม่มี Dextrose )
/ คุณก็ต้องซื้อไปกินทั้งสองขวด
แต่ถ้าในเซเว่นอีเลฟเว่น มีแค่แบบที่มี
Dextrose อย่างเดียว กรณีนี้ คุณก็ต้องไปซื้อตัว essential
amino acid จากเมืองนอกมาใช้ เช่นที่เวบ Bodybuilding.com /
แล้วเวลาไปโรงยิม ก็เอาไปสองขวด ขวดนึงเป็นตัวที่มี Dextrose
ที่เราซื้อจากเซเว่นอีเลฟเว่น ,อีกขวดนึง เป็นตัว essential amino
acid ที่เราซื้อแบบเป็นผงมาจากเมืองนอก แล้วเราก็ผสมน้ำแล้วใส่
เชคเกอร์ เอาไปที่โรงยิมด้วย
)
|
|
ตอบโดย
Victor Martinez (
คลิ๊กเพื่อดูรูป ) : สมัยที่ผมเป็นวัยรุ่น
ผมหางานที่ร้านอาหารทำเพื่อเลี้ยงชีพ
นั่นทำให้ผมได้ทานอาหารฟรีๆหลายมื้อ
และได้ซื้ออาหารทานในราคาถูกอีกด้วย
นั่นช่วยให้ผมประหยัดเงินสำหรับการซื้ออาหารมื้อหลักได้ครึ่งต่อครึ่ง
ดังนั้น ถ้าผู้ถามซึ่งเป็นวัยรุ่น ทำได้แบบผม
เขาก็จะประหยัดเงินค่าซื้ออาหารหลักได้ครึ่งต่อครื่ง (
เหมือนผม )
แล้วเอาเงินที่เหลือไปซื้ออาหารเสริมหลักๆ
อันได้แก่อาหารเสริมโปรตีน และอาหารเสริมคาร์โบไฮเดรต
อาหารเสริมโปรตีนที่แนะนำ คือ
BCAAs "แบบผง" ,และอาหารเสริม
คาร์โบไฮเดรต "แบบผง" / โดยวิธีทานอาหารเสริมนี้ คือ
ให้แบ่งการทานเป็นวันละ 2 ครั้ง ครั้งแรกให้ทานระหว่างวัน
และครั้งที่สอง ให้ทานหลังพึ่งฝึกเสร็จ
วัยหนุ่มอย่างคุณจะได้ของหายาก และเป็นของดี และก็เป็นของฟรีด้วย
นั่นคือ ฮอร์โมนเพศชาย testosterone /
ซึ่งผมแนะนำอาหารเสริมที่ไปกระตุ้นฮอร์โมนนี้ของคุณ
ให้ออกมาดีขึ้นอีก นั่นคือตัว
Nitric Oxide Booster
และ
อาหารเสริมที่ใช้ช่วงก่อนเริ่มเล่นกล้าม (
pre work out supplement )
ซึ่งสองอย่างนี้ เปรียบเสมือน icing on the cake (
Webmaster - เป็นสำนวนฝรั่ง
แปลว่าสิ่งที่มันดีอยู่แล้ว ก็ทำให้มันดีขึ้นไปกว่านั้นอีก /
คือหมายความว่า ในช่วงวัยรุ่นของคุณ
เทสทอสเตอโรนก็ออกมาเยอะอยู่แล้ว แต่การที่ใช้ Nictic Oxide
Booster และอาหารเสริมที่ใช้ช่วงก่อนเล่นกล้าม
จะช่วยให้เทสทอสเตอโรนออกมามากกว่านั้นอีก ) /
แต่ถ้าคุณมีเงินไม่พอสำหรับอาหารเสริมพวกนี้
ก็เปลี่ยนไปดื่มกาแฟแก่ๆสัก 1 แก้ว ก่อนเล่นกล้ามแทนก็ได้
เคล็ดลับสุดท้ายที่ผมจะแนะนำก็คือ คุณ "ไม่จำเป็น"
ต้องเสียเงินไปกับการทานอาหารประเภท
organic หรืออาหารประเภท
gluten free แต่อย่างใด / การทานอาหารพวกนี้
จะทำให้คุณเสียเงินเป็นสองเท่าของการทานตามปกติ /
ผมเป็นคนหนึ่งที่ยืนยันได้ว่า
การทานอาหารพวกนี้ไม่มีความแตกต่างเป็นพิเศษจากอาหารธรรมดาแต่อย่างใด
/ แต่ถ้าคุณมีไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ
ผมก็ไม่ได้ห้ามทานของพวกนี้นะครับ แต่ถ้างบประมาณคุณน้อย
คุณก็ควรตัดอาหารพวกนี้ออกไปก่อนเลยครับ
|
|
ตอบโดย
Steve Kuclo (
คลิ๊กเพื่อดูรูป ) :
ผมให้ความสำคัญกับอาหารเสริมโปรตีนเป็นอันดับหนึ่งเลย
ซึ่งมีดังนี้คือ
BCAA "แบบผง" ( powder ) -
คุณต้องทานมันทั้งตอนก่อนเล่นกล้าม ,ขณะเล่นกล้าม
และหลังเล่นกล้ามเสร็จใหม่ๆ นั่นแหละ แล้วคุณจะรู้เลยว่า
มันทำอะไรให้คุณได้บ้าง และทำไมผมถึงให้ความสำคัญกับมัน
เวย์โปรตีนแบบ Isolate -
ถึงแม้คุณจะมั่นใจว่าคุณได้โปรตีนจากอาหารมื้อหลักของคุณในแต่ละวันแล้วก็ตาม
คุณก็ควรจะเสริมความมั่นใจนั้นเข้าไปอีกด้วยการดื่มเวยโปรตีนแบบ
Isolate ตามเข้าไปด้วย / อีกทั้งในบางกรณีที่คุณต้องเดินทาง
หรือทำงานแบบติดพัน จนพลาดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งไป
ร่างกายก็จะไม่เสียหายมากไปหากคุณดื่มเวย์ Isotate ชดเชยเข้าไป /
ด้วยคุณประโยชน์ของเวย์ Isolate
มันจะช่วยพยุงร่างกายคุณไปจนกว่าคุณจะมีเวลาทานอาหารมื้อหลักได้
เพราะถ้าคุณพลาดมื้ออาหารด้วย และไม่ใช้เวย์ Isolate ช่วยด้วย
ร่างกายคุณจะเอาเซลล์กล้ามเนื้อของคุณมาเผาทิ้ง (
Catabolic state )
ซึ่งมันจะเสียหายมาก
|
|
ตอบโดย
Juan Morel (
คลิ๊กเพื่อดูรูป ) : ผมมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่า
ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริมใดๆ
มันก็ไม่อาจมาทดแทนอาหารมื้อหลักที่เรากินตามปกติได้ /
แต่เอาเป็นว่า สมมติว่าคุณทานอาหารมื้อหลักได้สมบูรณ์อยู่แล้วนั้น
หากคำถามคือว่า คุณยังพอมีเงินเหลือที่จะหาซื้ออาหารเสริมมาใช้ได้
คุณควรจะซื้ออาหารเสริมอะไรมาใช้?
เวย์โปรตีน - สิ่งนี้มาอันดับหนึ่งอยู่แล้ว
เพราะมันก็เหมือนมื้ออาหารหลักในเวอร์ชั่นแบบผง
ที่คุณสามารถพกพาไปที่ไหนก็ได้ พอถึงเวลาก็แค่ชงแล้วดื่ม ,เวย์โปรตีนเชค
ช่วยให้คุณได้รับโปรตีนในแต่ละวันได้อย่างครบถ้วน
โดยเฉพาะในวันที่คุณไม่มีเวลาแม้แต่จะนั่งทานอาหารมื้อหลัก
ครีเอทีน - ครีเอทีนถูกใช้อย่างแพร่หลายมาเป็นเวลา 20
ปีแล้ว มีผู้คนมากมายที่ได้พิสูจน์ครีเอทีน
และยอมรับว่ามันมีประโยชน์จริงๆ ,ครีเอทีน
จะทำให้คุณบริหารแต่ละครั้งได้ หนักขึ้น และนานขึ้น
และยังช่วยดึงน้ำเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้ออีกด้วย
เครื่องดื่มก่อนเล่นกล้าม -
อย่างสุดท้ายที่ผมจะแนะนำให้เสียเงินซื้อก็คือ
เครื่องดื่มก่อนเล่นกล้าม คือว่า ถ้าเป็นการฝึกช่วงปกติ
ผมจะไม่ใช้ของพวกนี้ แต่ว่า ถ้าเป็นช่วงเตรียมตัวประกวด
ซึ่งระดับพลังงานของเราเริ่มลดลง (
อันมีผลมาจากการไดเอท )
เครื่องดื่มพวกนี้จะช่วยเราได้เป็นอย่างมาก
และแม้ว่าคุณจะไม่ได้เป็นนักเพาะกายที่ต้องประกวด (
คือไม่ต้องมีช่วงไดเอท )
แต่อาจจะเหนื่อยล้ามาจากการทำงานประจำวัน การใช้เครื่องดื่มพวกนี้
ก็จะช่วยกระตุ้นให้คุณตื่นตัว
พร้อมที่จะใช้พละกำลังในการเล่นกล้ามในโรงยิมได้
,มีข้อระวังเกี่ยวกับเครื่องดื่มพวกนี้อยู่อย่างเดียว
คืออย่าเอาไปดื่มช่วงใกล้กับเวลานอน เพราะมันอาจทำให้คุณนอนไม่หลับ
หรือไม่ก็หลับๆตื่นๆ ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพ
|
ทั้งหมดนี้ อ้างอิงจาก : หนังสือมัสคิวลาร์ดีเวลลอปเม้นท์ ฉบับเดือน มกราคม
2558 หน้า 136 ถึง 138
|