ทิปจากแชมป์ |
|
คุณคงเคยได้ยินเรื่องของใครคนใดคนหนึ่งที่รู้จัก หรืออาจจะเป็นตัวคุณเองก็ได้ ที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้คือ 1.เชื่อมั่นในการจำกัดอาหาร หรือไดเอทอย่างหนักหน่วง โดยหวังว่าจะได้ร่างกายที่บอบบางลง 2.คนที่เสียเงินซื้อและใช้หลักสูตรไดเอท ผสมโรงไปกับหลักสูตรเต้นแอโรบิคอย่างหนักหน่วง 3.นักวิ่ง ,นักจ๊อกกิ้ง ,นักเทนนิส ที่พยายามออกกำลังด้วยการวิ่งอย่างหนัก แต่ทั้งหมดที่ว่ามานี้ต่างก็ต้องพ่ายแพ้ในสงครามที่ต่อสู้กับไขมัน หรือผลที่ได้รับ มันเหมือนไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิมเลย จริงๆแล้ว คุณไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่าการบริหารร่างกายด้วยการยกน้ำหนักเพียงอย่างเดียว ซึ่งมันช่วยให้คุณควบคุมไขมันในร่างกายได้ และพร้อมกันนั้นก็ทำให้รูปทรงของคุณดูดี ฉันจะอธิบายให้คุณฟังว่าทำไม |
|
ก่อนจะเริ่มต้น ดิฉันต้องออกตัวก่อนว่า ไม่ได้บอกว่าการทำไดเอท ไม่สามารถช่วยควบคุมไขมันได้นะคะ แต่ดิฉันเน้นเฉพาะเรื่องของ การทำไดเอท "อย่างหนักหน่วง" ต่างหาก มันหมายถึงการกระทำที่เกินพอดี ยกตัวอย่างเช่นการทานอาหารเพียงวันละมื้อ ,มื้ออาหารแต่ละมื้อก็ทานแต่ที่แคลลอรี่ต่ำมากๆ ซึ่งมันช่วยลดน้ำหนักได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ผลการลดไขมันในระยะยาวของคุณ จะกลายเป็นเรื่องฝันร้ายของคุณไปอีกนาน ผลเสียอย่างแรกของการไดเอทอย่างหนักหน่วง คือ ร่างกายจะสร้างระบบคุ้มกันที่เรียกว่า ระบบต่อต้านภาวะอดอาหารตาย (Anti-Starvation) ด้วยการลดอัตราเผาผลาญไขมันในร่างกายให้ลดลงเหลือต่ำสุด อันส่งผลให้ความต้องการในการใช้แคลลอรี่ในแต่ละวันของคุณถูกตัดทิ้งไป (คือทำให้ร่างกายต้องการแคลอรี่น้อยลง) เพราะฉะนั้น ทันทีที่คุณออกจากโปรแกรมไดเอทอย่างหนักหน่วง แล้วไปทานอาหารตามปกติ คุณจะสะสมไขมันในร่างกายได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับคนโดยทั่วไป และที่สำคัญก็คือเร็วกว่าตัวคุณเองสมัยที่ยังไม่ได้ทำไดเอท ประการที่สอง เมื่อคุณลดน้ำหนักตัวอย่างเร็ว คุณจะหายไปทั้งไขมันด้วย และเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อของคุณด้วย ซึ่งเมื่อคุณพยายามสร้างกล้ามเนื้อของคุณกลับขึ้นมาใหม่ สิ่งที่ได้รับคือเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อไม่ได้กลับคืนมาทั้งหมด คุณจะได้มาแค่หยิบมือเดียว (อธิบาย - หมายถึงว่า หลังจากออกจากการไดเอทอย่างหนัก และพยายามกลับมาบริหารตามปกติ เนื้อเยื่อเซลล์กล้ามเนื้อทั่วตัวของคุณก็จะขาดความแข็งแรง ,ขาดความเต่งตึง ,หนังเหี่ยว ,หน้าเหี่ยว) ดิฉันแนะนำว่า ควรทำอะไรให้มันถูกต้องเสียตั้งแต่เริ่มต้นจะดีกว่า ดิฉันไม่ได้บอกว่าการวิ่งเหยาะๆ ,การวิ่งจริงๆ ,การทำแอโรบิคแบบต่างๆเช่นการเต้น ฯลฯนั้นไม่ดี จริงๆแล้วการออกกำลังแบบแอโรบิคช่วยเผาแคลอรี่ได้ปริมาณส่วนหนึ่ง อีกทั้งยังช่วยทำให้ระบบหัวใจแข็งแรง และมีส่วนในการเผาไขมันในร่างกายด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อวิเคราะห์ความหมายของการทำแอโรบิคตามตัวอักษรแล้ว มันไม่มีส่วนให้กล้ามเนื้อได้ออกแรง "ต้านทานแรงกด" กับสิ่งใดๆเลย (เช่น ไม่มีการต้านทานกับแรงดึงดูดของโลกด้วยการยกน้ำหนักขึ้นและลง) แล้วมันสำคัญตรงไหน? สำคัญสิ เพราะด้วยการออกกำลังแบบ มีการพัฒนาการ "ต้านทานแรงกด" เท่านั้น เท่านั้นถึงจะเอื้ออำนวยให้คุณสร้างร่างกายได้อย่างที่ต้องการ ,สร้างปฏิกิริยาเคี้ยวแคลลอรี่เป็นขนมไปเลย ,และเร่งอัตราการเผาผลาญไขมัน (ที่ต้องใช้คำว่า พัฒนา "การต้านทานแรงกด" นั้น ก็เพราะการที่ใช้น้ำหนักขนาดเดิมไปตลอด มันก็ไม่ได้ผลเช่นกัน คำว่าพัฒนาในที่นี้หมายถึงว่าเมื่อกล้ามเนื้อออกแรงต้านกับน้ำหนักจนชินแล้ว เราก็เพิ่มน้ำหนักที่ใช้ขึ้นไป แล้วกล้ามเนื้อก็จะพัฒนา "การต้านทานแรงกด" ขึ้นเรื่อยๆ ตามน้ำหนักที่เราเพิ่มขึ้นมา ซึ่งทั้งหมดก็คือความหมายของการเล่นกล้ามนั่นแหละ) เรามาดูกันว่ามันทำงานอย่างไร ยกลูกน้ำหนัก เมื่อคุณเริ่มยกลูกน้ำหนัก มันจะมีหลายสิ่งเกิดขึ้นกับคุณ อย่างแรก คุณจะเผาแคลลอรี่ทิ้งไปเลย 200 - 400 แคลอรี่ต่อการเล่น 1 คาบฝึก ซึ่งแคลอรี่ส่วนนี้ ถ้าเก็บไว้กับตัว มันก็คือไขมันในร่างกายนั่นเอง ประการที่สอง ถ้าคุณฝึกด้วยจังหวะที่เร็ซ และพักน้อยๆระหว่างเซท มันจะช่วยยกระดับการเต้นของหัวใจให้ดีขึ้นและมีความเสถียร ส่งผลให้ระบบเลือดทั่วร่างกายได้รับการพัฒนา และเกิดการเร่งปฏิกิริรยาการเผาผลาญไขมันในร่างกาย และประการสุดท้ายซึ่งสำคัญที่สุด คือคุณได้สร้างเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อที่มีคุณภาพขึ้นมาแล้ว "ลูกน้ำหนัก" เป็นอุปกรณ์ที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ในการทำหน้าที่เป็น "ลิ่ม" สำหรับแกะเส้นสายโครงร่างของร่างกายคุณให้ได้ตามที่ต้องการ ถ้าคุณมีอกที่แห้งเหี่ยว แขนที่แฟบแบน คุณก็สามารถใช้ "ลูกน้ำหนัก" พัฒนาหน้าอกให้แน่น ,สร้างไบเซบและไทรเซบบนต้นแขนของคุณให้มีรูปทรง สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นจากการยกลูกน้ำหนักประการต่อไป และคงเป็นสิ่งที่คุณชอบเป็นพิเศษก็คือ กล้ามเนื้อที่ถูกสร้างมาจากการยกลูกน้ำหนักเหล่านี้ มีความต้องการแคลลอรี่จำนวนมาก เพื่อให้ตัวเอง (หมายถึงตัวกล้ามเนื้อเอง) ดำรงสถานะอยู่ได้ในร่างกายตามปกติ (หมายความว่า ยิ่งมีกล้ามเนื้อที่สร้างจากการยกลูกน้ำหนักมากเท่าไร มันก็ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้ทั้งวันทั้งคืน) ซึ่งการที่มันต้องการแคลลอรี่มากๆนี้ ก็ส่งผลให้ร่างกายเร่งอัตราเผาผลาญอาหารให้เร็วขึ้นอีกโดยอัตโมมัติ (ยิ่งมีการเผาผลาญที่เร็วขึ้น ก็ทำให้สารอาหารกลายเป็นพลังงานได้มากขึ้น แต่ถ้าเผาผลาญอาหารช้า ก็จะทำให้สารอาหารแปลงเป็นพลังงานได้ช้า ทำให้มีส่วนที่เหลือต้องตกค้างในร่างกายและแปรสภาพเป็นไขมันไป) นี่คือเหตุผลหลักที่นักเพาะกายสามารถทานได้มาก แต่ไม่อ้วนนั่นเอง เพราะว่าร่างกายของเขาและเธอเหล่านั้น สามารถแปลงแคลอรี่เป็นพลังงานให้กับกล้ามเนื้อได้เกือบทั้งหมด (ไม่ต้องเหลือตกค้างเป็นไขมัน) สร้างความสมดุล คุณไม่จำเป็นต้องทิ้งการวิ่งเหยาะๆ หรือทำแอโรบิคทั้งหมดไปก็ได้ เพราะเราสามารถเอาการออกกำลังกายด้วยการยกลูกน้ำหนัก มารวมกับการทำแอโรบิคแบบที่คุณชอบได้ และเพื่อตอกย้ำความสำเร็จ ทุกอย่างนี้ควรทำควบคู่ไปกับการทานอาหารแบบที่แยกเป็นมื้อย่อย 4 - 6 มื้อ ,เลือกสรรอาหารที่มีประโยชน์ และไขมันต่ำ มันเป็นเรื่องยากเหมือนกันที่จะชี้แนะเรื่องแบบนี้สำหรับบางคน โดยเฉพาะผู้หญิงที่กลัวว่าการยกน้ำหนักจะทำให้กล้ามเนื้อเธอใหญ่เกินไป แต่ดิฉันรับประกันได้โดยหลักวิทยาศาสตร์ที่ว่าผู้หญิงไม่มีฮอร์โมนในการสร้างกล้ามเนื้อให้ใหญ่ หรือ หนาเทอะทะ ดังนั้น การเพาะกายที่เล่นด้วยจำนวนครั้งในแต่ละเซทสูงๆ ,การเล่นด้วยจังหวะเร็วๆ และใช้น้ำหนักน้อยๆ จะช่วยปรับแต่งรูปทรงร่างกายของคุณให้ดีขึ้น และแล่ไขมันทิ้งออกไปนอกร่างกาย สุดท้ายนี้ ดิฉันขอฝากคำพูดไว้ว่า สิ่งที่เลวร้ายสุดๆ ก็คือแม้ว่าคุณจะเห็นด้วยกับที่ดิฉันพูดมาทั้งหมด แต่คุณ "ปิดใจ" ของคุณ ไม่กล้าทดลองนำเอามาปฏิบัติ (โดยเฉพาะผู้หญิงที่กลัวว่ากล้ามจะใหญ่เกินไป) ในเมื่อคุณลองวิธีอื่นในการลดไขมันมาหมดแล้ว ถ้าจะลองอีกสักวิธี มันจะยากขนาดไหนกันเชียว |
- END - |